รักษาสีรถให้ถูกวิธี อาบน้ำประแป้งแต่งตัวให้รถคันเก่งกันดีกว่า
พอพูดถึงเรื่องการขัดสีรถก็อาจจะมีหลายท่านที่ทำหน้าเบื่อ ๆ เพราะกิจกรรมนี้มันค่อนข้างจะต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงานกันมากพอดู แต่ทราบกันหรือไม่ว่าการลงทุนเสียเวลาเสียแรงในการขัดสีรถนั้นพอเทียบกับความเงางามและความทนทานของสีรถที่ได้รับถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องจากไม่ได้ต้องขัดกันทุกวันทุกสัปดาห์หรือทุกเดือนเพียงแค่ 3 เดือนต่อครั้งเท่านั้น สีรถก็จะดูดีแวววาวสวยงามและเหมือนรถใหม่เสมอ
ที่นี้การจะเลือกใช้น้ำยาขัดเคลือบสีรถของยี่ห้อไหนหรือผลิตภัณฑ์ของใครนั้น สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าของรถจะต้องทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของสินค้ายี่ห้อนั้น ๆ เอาไว้ด้วย อย่างน้อยไอ้ตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ไว้ข้างกระป๋องนั่นน่ะ ถ้าตั้งใจอ่านก็พอจะได้ความรู้อยู่บ้าง
ควรเล่นให้ครบทุกกระบวนท่า
การขัดเคลือบสีรถนั้นไม่ใช่ขึ้นต้นมาก็ลงมือขัด ๆๆๆๆ กันเลย เพราะถ้าหากต้องการให้สีรถออกมาดูดีที่สุดก็ควรจะต้องทำให้ครบทุกขั้นตอน เนื่องจากกระบวนการในการขัดสีรถจะต้องเริ่มตั้งแต่การขจัดเศษฝุ่นละอองไปจนถึงการเคลือบป้องกันรังสี UV กันเลย
กระบวนการหรือกรรมวิธีเคลือบสีนี้จะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้หลายขั้นซึ่งหากคุณใช้วิธีขับรถไปเข้าคาร์แคร์ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องจ่ายเงิน คุณต้องทำเอง) แต่ถ้าไปเข้าร้านที่ไม่ค่อยลงทุนสักเท่าไหร่ ขั้นตอนต่าง ๆ ก็จะถูก “หด” ลงไป รวมทั้งคุณภาพของตัวน้ำยาที่ใช้ก็เป็นเกรดธรรมดา หรือต่ำกว่าธรรมดา (เพราะต้องการดึงราคาค่าบริการให้ต่ำลงจนดึงดูดความสนใจ) บางทีแทนที่จะเป็นการรักษาสีรถก็กลายเป็นทำลายสีรถไปเลย จึงอยากแนะนำให้เดินหาซื้อมาด้วยตนเองจะดีที่สุดเพราะเราสามารถเลือกระดับคุณภาพของตัวน้ำยาเหล่านี้ได้
ข้อควรคำนึง คือ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้าง ขึ้นผึ้งและครีมขัดในทุกขั้นตอน สาเหตุหนึ่งที่บอกว่าควรใช้ยี่ห้อเดียวกันก็เพราะสารประกอบที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเดียวกันนั้นจะไม่ขัดกันเองเหมือนกับการนำของต่างยี่ห้อมาใช้งานร่วมกันซึ่งบางครั้งสารเคมีที่ใช้อาจจะเป็นคนละตัวกันและมีฤทธิ์หักล้างซึ่งกันและกัน
มาเริ่มต้นที่กระบวนการขัดเคลือบสีรถกันดีกว่า ขั้นแรกคือการเลือกซื้อน้ำยาให้ครบชุด ซึ่งจะประกอบด้วย น้ำยาล้างรถชนิดที่เป็นแชมพู บางคนอาจจบอกใช้แชมพูสระผมก็ได้ อันนั้นเป็นความคิดที่ผิด อย่าไปเอาอย่างพวกล้างแท็กซี่เลย รถเราราคาตั้งหลายแสนหลายล้านแล้วก็ไม่ใช่รถสาธารณะด้วย ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ ? จะบอกให้ว่า ตัวสูตรผสมของแชมพูทั้งสองชนิดนั้นจะมีพื้นฐานเดียวกันคือ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟองเหมือนกันแต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ตัวทำความสะอาดชนิดที่ไม่ทำอันตรายแก่สีรถแล้วยังต้องช่วยรักษาความเงาของเนื้อสีเอาไว้ให้ได้ด้วย นั้นคือ คุณสมบัติที่รถยนต์ต้องการ ส่วนสำหรับเส้นผมเขาก็ต้องผสมสารต่าง ๆ มาให้เพื่อใช้กับเส้นผมโดยเฉพาะ ซึ่งสารพวกนั้นสีรถไม่ต้องการใช้ไปนาน ๆ เข้าสีรถจะเริ่มด้านขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน
เริ่มต้นขั้นตอนกันตั้งแต่การทำความสะอาดรถเสียก่อน โดยใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นผงต่าง ๆ ออกเป็นอันดับแรกด้วยวิธีปัดไล่ไปทางเดียวตรง ๆ อย่าปัดย้อนไปมาเด็ดขาดเพราะจะเท่ากับพาเอาฝุ่นผงกลับมาที่เดิม แถมเป็นการขัดสี (ให้เป็นรอย) ไปอีกด้วย
จากนั้นให้ใช้น้ำยาล้างรถผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เขากำหนดเอาไว้ ซึ่งปกติก็จะอยู่ประมาณ ฝ ฝาต่อ 1 แกลลอน (คิดแบบไทย ๆ ก็ 1 ฝาต่อน้ำ 1 ถัง) สำหรับรถขนาดเล็ก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดของตัวรถที่โตขึ้น การล้างรถที่ให้ผลดีที่สุดจะต้องใช้ฟองน้ำ 2 แผ่น หลังจากฉีดน้ำเปลา เพื่อล้างฝุ่นไปรอบหนึ่งแล้ว ให้เอาฟองน้ำแผ่นแรกล้างส่วนบนของตัวรถตั้งแต่หลังคาไล่ลงมาถึงประมาณส่วนกลางของตัวรถ ล้างให้รอบคันเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนฟองน้ำอันใหม่มาจัดการล้างส่วนด้านล่างต่อให้จบ เหตุที่ต้องให้เปลี่ยนฟองน้ำถึง 2 อันก็เพราะว่าอันแรกจะล้างส่วนบนที่ไม่ค่อยจะมีเศษฝุ่นทรายแต่ส่วนล่างจะมีฝุ่นทรายมาก หากใช้แผ่นเดียวแล้วพอนำเอามาล้างครั้งต่อไปเศษฝุ่นทรายที่ตกค้างอยู่ในฟอนน้ำจะออกมาถูกับสีให้เป็นรอยตามมาได้อีก หลังจากล้างด้วยฟองน้ำจนทั่วทุกส่วนแล้วจึงใช้น้ำสะอาดล้างฟองออกให้หมด แล้วใช้ผ้าสะอาด ๆ มาเช็ดน้ำที่ตกค้างออกให้แห้ง (ถ้าได้พวกชามัวร์มาเช็ดก็จะทำงานง่ายขึ้นเพราะผ้าชามัวส์นั้นสามารถจะซับน้ำออกได้เร็วกว่าผ้าธรรมดา)
ด่านสองต้องครีม
การขจัดริ้วรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ลึกมาก อย่างที่เรียกกันว่า “ขนแมว”ออกจะต้องใช้ยาขัดที่มีลักษณะคล้ายกับยาขัดสีของพวกอู่สีเขาแต่ต้องมีเนื้อละเอียดมากกว่าจะได้ไม่เกิดรอยใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิม ครีมที่ใช้นี้จะเป็นครีมสูตรเดียวกับของวงการเครื่องประดับที่เขาใช้ขัดรอยขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ออก
เมื่อสำรวจตรวจหารอยจนครบแล้ว หากต้องการจะขัดออกก็ให้ใช้ครีมชนิดนี้พร้อมกับผ้าสำลี (ใช้งานดีที่สุด) มาขัดเบา ๆ ตามแนวของรอยขีดนั้น ๆ ไม่ต้องออกแรงมากมายเหมือนซักรองเท้าผ้าใบ แล้วเราก็จะเห็นว่ารอยขึดข่วนเล็ก ๆ เหลือน้อยลงหรือหายไปเลย ลบรอยกันแล้วก็มาถึงการขัดสีด้วยครีมขั้นตอนแรกกัน ครีมที่ใช้จะเป็นแบบที่ผสมด้วย “น้ำมันคาร์นูบา” เพื่อใช้สำหรับขัดทำความสะอาด ขจัดคราบสกปรก และคราบสนิมรวมทั้งคราบเขม่าจากท่อไอเสีย (รถบางรุ่นจะโดนเขม่าจากท่อไอเสียเป็นปกติจากโรงงานเลย) วิธีการขัดให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าแตะน้ำยาเล็กน้อยทาในลักษณะวน ๆ ให้เป็นก้นหอยให้ทั้วทั้งคัน ครบทุกส่วนที่เป็นสีก็พอดีกับจุดที่เราเริ่มทายาขัดแห้งใช้การได้พอดีแล้ว
ขั้นตอนนี้ยากที่สุดเนื่องจากการขัดสีรอบนี้จะต้องออกแรงมากพอสมควรเพื่อปรับสภาพพื้นผิวให้เรียบขึ้นและยังต้องกำจัดเอาเศษคราบสกปรกที่ฝังติดแน่นออกให้หมด (ไอ้เจ้าเศษสิ่งสกปรกที่ติดมานั้น ส่วนใหญ่ก็จะมาจากเศษน้ำมันปนกับเขม่าควันและฝุ่นละอองในทุกแห่งที่รถของเราผ่านไปนั้นเอง ซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงเสียด้วย) และในทันทีที่ออกแรงขัดออกหมดแล้วก็จะเห็นว่าสีของรถคุณเริ่มขึ้นเงาและผิวสีจะลื่นขึ้นจนสังเกตได่
ด่านสามอุดและเคลือบ
หวังว่าคงยังไม่เหนื่อยกันนัก .. มาเริ่มต้นขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า หลังจากที่เราจัดการกับรอยขนแมวและคราบสิ่งสกปรกบนพื้นผิวเสร็จไปอีกหนึ่งขั้นตอนแล้วถึงตรงนี้ถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนั้นไม่ลงมือขั้นต่อไปก็จะเท่ากับเราได้ขัดสีรถแล้วปล่อยเอาไว้เฉย ๆ เมื่อนำรถออกไปใช้งาน บรรดาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในบรรยากาศก็จะเข้ามาเกาะติดกับสีรถได้อีก ดังนั้น เพื่อให้การขัดสีครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจึงจำเป็จะต้องขัดด้วยครีมหรือขึ้ผิ้งเคลือบสีอีกรอบหนึ่ง
ในขั้นตอนการเคลือบสีนี้เราสามารถจะเลือกใช้ได้ทั้งแบบครีมและขึ้ผิ้งเนื่องจากทั้งสองชนิดทำจากเรซิ่นที่มีความหนืดสูง และมีความไวต่ออากาศ พร้อมด้วยส่วนประกอบของสารเทฟล่อน สุดท้ายก็จะเป็นสารสำหรับชักเงาทำให้การขัดสีง่ายขึ้น
เราสามารถแยกคุณสมบัติต่าง ๆ ของสารที่เติมเข้าไปมาได้คร่าว ๆ ดังนี้ เรซิ่นพิเศษที่ผสมอยู่นี้จะยึดติดกับผิวสี ช่วยอุดลบร่องรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ทำให้สีรถดูเรียบ เป็นเงา และกลายเป็นผิวเคลือบที่เป็นเงาใส ๆ เพิ่มความเงางามให้กับสีรถได้อีกส่วนหนึ่ง และสารเทฟล่อนจะทำหน้าที่ช่วยให้เกิดความลื่น เคลือบสีให้เกิดความคงทนยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยป้องกันสีรถจากการกัดกร่อนของพวกกรดหรือด่างในน้ำในขี้นกในยางไม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ สามารถป้องกันรังสี UV (Ultra violet) อันเป็นตัวการทำลายสีรถให้ซีดจางได้ด้วย
กรรมวิธีการขัดให้ทำเช่นเดียวกับที่ลงมือไปเมื่อรอบที่แล้วคือ ใช้ฟองน้ำที่มีมาอยู่ในกล่องแตะครีมหรือขี้ผึ้งเล็กน้อยค่อย ๆ วน ๆ เป็นก้นหอย ทาให้ทั่วทั้งคัน จากนั้นจึงใช้ผ้าสำลีสะอาด ๆ มาเช็ดออกอีกทีหนึ่ง งานรอบนี้จะเบาแรงขึ้นพอสมควรที่เยวเพราะเศษสิ่งสกปรกถูกกำจัดออกไปแล้วครั้งหนึ่ง
ขั้นตอนสุดท้าย
งานขัดเคลือบสีในขั้นตอนสุดท้ายนี้จะเป็นการเคลือบเงาปิดท้ายอีกชั้นหนึ่งเพราะขึ้นผิ้งตัวสุดท้ายนี้จะมีคุณสมบัติในการป้องกันผิวสีให้มีความคงทน เงางามเป็นประกาย และยังช่วยป้องกันรังสี UV จากแสงแดด ไม่ให้ทำอันตรายต่อสีรถได้อีกระดับหนึ่งที่เหนือไปกว่าขั้นที่แล้ว (เรียกว่าชัวร์กันไปเลย)
กระบวนการขัดครีมขั้นสุดท้ายนี้ จะเป็นขั้นตอนที่เบาแรงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพราะขึ้ผิ้งตัวนี้เราจะใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ค่อย ๆ ขัดเบา ๆ เป็นก้นหอยให้ทั่ว แล้วเช็ดออกด้วยผ้าสำลีสะอาด ๆ เพียงเท่านี้สีรถที่เคยหม่นหมองก็จะกลับมาเงาวับในทันที
ขอเดือนเอาไว้สักหน่อยว่า การทำงานทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติในร่มในเงาของหลังคาเท่านั้น หากไปเล่นขัดสีกันกลางแสงแดดจะทำให้ยาขัดแห้งไม่เท่ากัน และเห็นผล (ร้าย) ได้ตอนที่เมื่อเช็ดออกแล้วสีจะเงาไม่เสมอกัน นอกจานั้นยังทำให้ระยะเวลาที่น้ำยาจะทำปฏิกิริยากับผิวสีมีน้อยลงซึ่งเป็นเรื่องสำคัญพอสมควร เราสามารถทำเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ แต่การขัดและเคลือบสีนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกครั้งที่ล้างก็ได้เพราะเมื่อขัดและเคลือบครั้งหนึ่งแล้วจะมีอายุยืนยาวไปได้ถึงประมาณ 6 เดือน...........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น